Biotech Thailand is a biomedical & biotechnology directory providing a list of organisations, products & services in the biotech industry.

NEWS

    

อย่าหาทำ ‘Colloidal Silver’ กินไม่ได้ เทรนด์สุดอันตรายอาจถึงตายได้

“Colloidal

เทรนด์สุดอันตราย หลังชาวเน็ตแห่นำ “แร่ธาตุคอลลอยด์ (Colloidal Silver)” มาผสมน้ำดื่ม เพราะเชื่อว่ารักษาได้ทุกโรค แต่ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์มารองรับ แถมเป็นสารที่มีผลข้างเคียงมหาศาล

ชื่อของ “Colloidal Silver” หรือ “แร่ธาตุคอลลอยด์” ถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้ง หลังเกิดกระแสในโลกโซเชียลว่า เป็นยารักษาสารพัดโรค ตั้งแต่อาการปวดหัว ปวดเข่า รักษาสิว แก้ปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ ไปจนถึงกลุ่มโรคร้ายแรง เช่น วัณโรค หรือ มะเร็ง

แต่ความจริงแล้ว สารแขวนลอยดังกล่าวมีอันตรายถึงชีวิต เพราะยังไม่มีการรับรองทางการแพทย์ว่ามันสามารถรักษาโรคได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งหากมันสะสมอยู่ในร่างกายไปนานๆ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพ ได้แก่ อวัยวะภายในเสียหาย สมองถูกทำลาย ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีฟ้า และหนักที่สุดก็อาจถึงขั้นเสียชีวิต

ก่อนหน้านี้ Colloidal Silver กลายเป็นข่าวใหญ่ด้านสุขภาพมาแล้วในปี 2020 โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป และอเมริกา หลังมีหลายคนอ้างว่ามันสามารถรักษาโควิด-19 ได้ โดยเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว แร่ธาตุคอลลอยด์สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ภายใน 12 ชั่วโมง

แต่หลังจากนั้นก็มีเสียงคัดค้านออกมาจากผู้เชี่ยวชาญว่า ไม่เป็นความจริง! นอกจากจะไม่ช่วยรักษาโควิดแล้ว ยังเป็นแร่ธาตุที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย

หลังผ่านไปเพียง 3 ปี “Colloidal Silver” กับความเชื่อผิดๆ ในอดีตก็หวนคืนวงการสุขภาพอีกครั้ง หลังมีคนไทยจำนวนมาก โพสต์ลงสื่อโซเชียลว่าใช้แร่ธาตุดังกล่าวในการรักษาโรคได้ ทำให้เกิดการซื้อขายแร่ธาตุคอลลอยด์ผ่านช่องทางออนไลน์มากมาย รวมไปถึงมีการคิดค้นสูตรเอง!

อย่าเพิ่งเชื่อเรื่องนี้หากยังไม่รู้ข้อเท็จจริง ชวนไปรู้จักกับ “Colloidal Silver” หรือ “แร่ธาตุคอลลอยด์” ให้มากขึ้น โดยเฉพาะความอันตราย และผลข้างเคียงของแร่ธาตุดังกล่าว

“Colloidal Silver” แม้ฆ่าเชื้อได้ แต่กินแล้วอาจถึงตาย ไม่มีงานวิจัยรับรอง?

“Colloidal Silver” เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงอนุภาคขนาดเล็กของแร่เงินที่แขวนลอยอยู่ในของเหลว ที่มีขนาดแตกต่างกันออกไป บางครั้งพบว่ามีขนาดเล็กมาก กล่าวคือ เล็กกว่า 100 นาโนเมตร และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำให้มันสามารถแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะ เช่น ลำไส้ ผิวหนัง หรือปอด ได้ง่าย หากมันตกค้างสะสมในร่างกายมากเกินไป ก็จะเสี่ยงเผชิญปัญหาสุขภาพที่อาจตามมาในอนาคต

ในอดีตเมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล เคยมีการบันทึกว่า “Colloidal Silver” ใช้เป็นยาอเนกประสงค์เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ โดยเฉพาะการติดเชื้อ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก็มีการนำยาปฏิชีวนะเข้ามาใช้แทน เนื่องจากมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากกว่า

ทุกวันนี้ Colloidal Silver ยังเป็นยาทางเลือกที่อยู่ระหว่างการถกเถียงกันว่าสามารถรักษาโรคได้จริงหรือไม่ เพราะปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนตามที่มีการกล่าวอ้าง

ข้อมูลจาก healthline ระบุว่า ที่ผ่านมาเคยมีการทดลองใช้ Colloidal Silver ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัสได้หลายชนิดก็จริง แต่ก็ยังไม่มีการศึกษากับมนุษย์ เนื่องจากมีความเสี่ยงมากเกินไป

แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนให้ความเห็นว่า สารแขวนลอยชนิดนี้ไม่ใช่ยารักษาโรค และบริโภคไม่ได้ เพราะอาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตหากรับประทานในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพบการจำหน่ายในรูปแบบอาหารเสริม และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ในประเทศไทยเริ่มมีการนำมาผสมกับน้ำเพื่อรับประทานเองโดยไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์ พร้อมทั้งเริ่มส่งต่อความเชื่อผิดๆ ไปในวงกว้าง

ความเชื่อคนไทย กิน Colloidal Silver อ้างรักษาได้ทุกโรค?!

ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า เกิดเทรนด์ใหม่ในโลกโซเชียลไทยคือ การนำ “Colloidal Silver” มาใช้เป็นยา โดยอ้างว่ารักษาโรคเรื้อรังหรือโรคที่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ แต่กินสิ่งนี้แล้วจะหายป่วย รวมถึงมีการขายผ่านร้านค้าออนไลน์ทั้งรูปแบบของอาหารเสริม ยาสมุนไพร และตัวยาที่ยังเป็นของเหลวอยู่พร้อมกับสูตรการปรุงเพื่อให้ผู้ซื้อนำไปผสมรับประทานเองตามระดับความเจ็บป่วยของแต่ละคน

นอกจากนี้ยังมีการตั้งกลุ่มไลน์ขึ้นมาเพื่อแบ่งปันสินค้าและสูตรปรุงยา(ด้วยตัวเอง) อีกด้วย โดยมีสมาชิกในกลุ่มมากกว่า 5,000 คน ซึ่งบางคนอ้างว่าเมื่อผสมน้ำรับประทานแล้วทำให้หายจากอาการปวดศีรษะ เจ็บปวดตามข้อ และบางคนยังอ้างว่าช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติอีกด้วย

หลังจากเรื่องราวนี้เผยแพร่ออกไป ทำให้เกิดข้อโต้แย้งมากมาย เนื่องจากก่อนหน้านี้ก็เคยมีข้อมูลว่าผู้ที่ได้รับ Colloidal Silver มากเกินไป จะทำให้เกิด “ภาวะ Argyria” หรือ “โรคผิวสีน้ำเงิน” โดยสีผิวจะกลายเป็นสีฟ้าอมเทาแบบถาวร ไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะอนุภาคของแร่ธาตุจะเข้าไปสะสมอยู่ในลำไส้ ตับ ไต และอวัยวะภายในอื่นๆ รวมถึงตกค้างในเซลล์ผิวหนัง

จุดอันตรายที่สุดก็คือ เมื่อแร่ธาตุชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะไปยับยั้งการสร้างเซลล์ใหม่ เมื่อร่างกายสร้างเซลล์ใหม่ไม่ได้ อวัยวะภายในก็จะเริ่มเสียหายมากขึ้น และทำให้มนุษย์มีอายุสั้นลง

อีกชุดข้อมูลที่หลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือ ในแต่ละวันเราได้รับแร่ธาตุคอลลอยด์ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมาจากน้ำดื่ม อาหาร และอากาศ แต่ได้รับในระดับที่ค่อนข้างปลอดภัย

ไม่ใช่แค่ผลเสียต่อมนุษย์เท่านั้น แต่หากแร่ธาตุดังกล่าวปนเปื้อนไปใน แหล่งน้ำตามธรรมชาติ ก็จะทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย จนสัตว์น้ำอาจตายได้ ดังนั้นต้องกำจัดโดยผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทรับกำจัดสารเคมีที่มีความชำนาญเท่านั้น

ท้ายที่สุดแล้วการใช้ “Colloidal Silver” หรือ “แร่ธาตุคอลลอยด์” ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือทาลงบนผิวหนัง ก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งสิ้น เพราะสารดังกล่าวเมื่อตกค้างในร่างกายแล้ว ก็ยากที่จะกำจัดออกได้ ดังนั้นหากมีอาการป่วยใดๆ ก็ควรปรึกษาแพทย์จึงจะปลอดภัยที่สุด ไม่ต้องเสียเงินฟรีกับสารอันตรายที่รักษาโรคไม่ได้จริง

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1099424

อ้างอิงข้อมูล : healthline และ verywell health